ดีเดย์การขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ 300 บาท/วัน ทั่วประเทศ ผลกระทบ และวิธีรับมือ
ดีเดย์การขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ 300 บาท/วัน ทั่วประเทศ ผลกระทบ และวิธีรับมือ
รัฐบาลประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วัน มีผล 1 มกราคม 2556 เป็นต้นไป พร้อมกันทั่วประเทศ ใน 70 จังหวัด ตรึงอัตรานี้ถึงปี 2558 หลังจากก่อนหน้านี้ปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ใน 7 จังหวัดนำร่อง ซึ่งมีผลไปแล้วตั้งแต่เดือนเมษายน 2555 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งออกมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าว เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือที่เรียกว่า เอสเอ็มอี ทั้งหมด 6 มาตรการใหญ่ และ 27 มาตรการย่อย เช่น มาตรการทางการเงิน เพื่อเสริมสภาพคล่อง มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของ เอสเอ็มอี มาตรการเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการผ่านการใช้จ่ายภาครัฐ เป็นต้น
ค่าแรงขั้นต่ำเดิมวันละ 215 บาท ปรับเพิ่มมาอีก 85 บาท ต่อวัน (ประมาณ 2,210 บาท /เดือน/คน) สำหรับธุรกิจเอสเอ็มอี หรือธุรกิจขนาดกลาง และ ขนาดเล็กได้รับผลกระทบต่อกิจการด้านค่าใช้จ่ายแรงงานที่เพิ่มขึ้นถึง 39.5% บางแห่งถึงกับปิดโรงงานซึ่งเกิดขึ้นแล้ว จากข่าว บริษัท วิณาการ์เมนต์ จำกัด ผู้ผลิตเสื้อชั้นในของนายจ้างชาวญี่ปุ่นสั่งปิดโรงงานโดยไม่แจ้งล่วงหน้า จนกลุ่มพนักงานฝ่ายผลิตออกมาประท้วงหน้าโรงงาน 290 คน
ผลกระทบด้านบวก
- ผู้ใช้แรงงานมีรายได้เพิ่มขึ้น ทำให้มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น
- ผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับการจ้างแรงงานมากขึ้น คือคัดเลือกแรงงานที่มีความรู้และประสบการณ์เพื่อให้คุ้มกับต้นทุนค่าใช้จ่ายแรงงานที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผลผลิตมีคุณภาพมากขึ้น
ผลกระทบด้านลบ
ต้นทุนของผู้ประกอบการสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการอาจสูงขึ้น เนื่องจากต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการเพิ่ม
จะว่าไปแล้วการขึ้นค่าแรงไม่ว่าจะครั้งไหนๆ ผลที่ตามมาก็คือ ธุรกิจที่ต้องใช้แรงงานเป็นหลักเช่น ธุรกิจสิ่งทอ เซรามิค ฯลฯ ล้วนแต่ได้รับผลกระทบโดยตรง ผู้ประกอบการจำเป็นต้องหาทางรอดซึ่งอาจจะวางแผนมาเป็นปี เช่น ตัดรายการสวัสดิการ เช่น ค่าข้าว ค่ารถ แล้วจ่ายเฉพาะค่าแรง หรืออาจจะจ้างเป็นรายชิ้น เป็นต้น ผลที่ตามมาคือ แรงงานลำบาก เพราะต้องมีรายจ่ายประจำวันมากขึ้น จากเดิม ถ้ารวมสวัสดิการ โอที ได้รับค่าจ้างประมาณ 13,000 – 15,000 บาท เมื่อนายจ้างจ่ายเฉพาะค่าแรง ได้รับค่าจ้างประมาณเดือนละ 8,000 – 10,000 บาท (รวมโอที) ข้าว 1 มื้อ /ราคาจานละ 35-40 บาท ไหนจะค่าเดินทาง ค่าเช่าห้อง ฯลฯ หลายคนบอกว่าขอค่าแรงเท่าเดิมแล้วได้รับสวัสดิการเหมือนเดิมจะดีกว่า เพราะพอประกาศให้ขึ้นค่าแรง ไม่ว่าจะขึ้นมากเท่าไหร่ ราคาสินค้าก็สูงขึ้นเท่านั้นเหมือนเป็นเงา (หรืออาจเป็นแรงเงา) ต้นทุนสินค้าหลักๆ คือค่าแรง ปัญหามันวนกลับมาที่ชาวบ้านอย่างเรานี่แหละ ปีนี้ก็เตรียมรับผลกระทบจากหลายๆ ด้านไว้นะคะ เราอยู่ปลายทางคือผู้บริโภค อย่าใช้จ่ายให้มากเกินตัว เงินจะไม่พอใช้ ต้องตั้งหลักใหม่เริ่มต้นที่ตัวเรา สำรวจตัวเองเราสามารถลดรายจ่ายส่วนไหนได้บ้าง เช่น บางคนติดกาแฟสด (แก้วละ 40 บาท x 30 วัน = 1,200 บาท) น้ำอัดลม (กระป๋องละ 15 บาทx 30 วัน = 450 บาท ) เป็นต้น นำเงินที่เราตัดใจจากความเคยชิน เช่น วันนี้ฉันต้องกินกาแฟสด วันนี้ฉันต้องกินน้ำอัดลม อยากไปหยอดกระปุกแทน ลดรายจ่ายเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ เราจะพบว่า รายจ่ายที่เกิดจากความเคยชินในชีิวิตประจำวันกลับกลายเป็นเงินออมไปโดยปริยาย แถมด้วยสุขภาพที่ดีขึ้นด้วย นับจากวันนี้เรามาลองนับหนึ่งไปด้วยกันเพราะสุดท้ายเราก็เรียกร้องจากใครไม่ได้ “ใช้จ่ายเงิน ตามความสามารถที่หากำลังทรัพย์ได้ และต้องรู้จักออม ไม่ใช่ใช้จ่ายเกินตัว”